คุณแม่ระวัง!! Brain Fog ภาวะสมองล้า ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

ภาวะสมองล้า เมื่ออายุมากขึ้น ผสมผสานกับการทำงานหนัก มีเรื่องให้ต้องรับผิดชอบมากมาย สุขภาพร่างกายก็เสื่อมถอยลงทุกวัน โดยเฉพาะ คุณแม่ที่ต้องทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกด้วย ร่างกายอาจมีภาวะเครียดสะสม พักผ่อนน้อย จนอาจทำให้เกิดภาวะสมองล้า ซึ่งแน่นอนว่า จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมก่อนวัยได้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้คุณแม่ตระหนักถึงภัยเงียบนี้กันมากยิ่งขึ้น เราจึงมีสาเหตุ และวิธีการป้องกัน ภาวะสมองล้า นี้มาฝากกัน หากใครที่สนใจ สามารถติดตามรายละเอียดกันได้เลย 1. มาทำความรู้จักกับภาวะสมองล้า (Brain Fog Syndrome) เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดสะสมและสมองถูกใช้งานอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจจะเกิดจากพฤติกรรมการทำงานในชีวิตประจำวัน ที่จะต้องใช้ความเร่งรีบส่งงานให้ตรงตามกำหนด มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมายทำให้สมองต้องคิดอยู่ตลอดเวลา หรือสำหรับสาวออฟฟิศที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมตลอดทั้งวัน จนทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ของระบบประสาทเกิดความเสียสมดุล จนทำให้สมองนั้นทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ หรือแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอื่นตามมาได้ง่ายมากขึ้น 2. สมองล้าเกิดจากสาเหตุใด เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ ที่ไม่ได้เคลียร์สมองให้โล่งก่อนนอน ทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสม ส่งผลกระทบให้การไหลเวียนเลือดในสมองลดลง เกิดอาการมึนงงความจำแย่ลง หรือบางคนอาจจะขาดการออกกำลังกาย ไม่ดูแลด้านโภชนาการให้เหมาะสม และที่สำคัญสำหรับใครที่ใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ เป็นเวลานานจะทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เข้าไปรบกวนการหลั่งสารสื่อประสาทในสมอง จนทำให้เกิดเป็นภาวะสมองล้าขึ้นได้นั่นเอง 3. ลักษณะอาการที่จะบ่งบอกว่าคุณมีภาวะสมองล้า คุณแม่จะรู้สึกไม่ค่อยสดชื่น นอนหลับไม่สนิท รู้สึกว่าหมดไฟหมดพลังงานในการทำงาน ไม่สามารถที่จะกำจัดความเครียดจากการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้เป็นภัยคุกคามในชีวิตและส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ […]
ห้ามพลาด สัญญาณเตือนลูกเริ่มมีอาการท้องผูก ต้องรีบแก้ไขทันที

สัญญาณลูกท้องผูก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอาการท้องผูกในเด็กนั้นเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยมาก พบได้ทุกช่วงอายุ เป็นปัญหาที่บั่นทอนจิตใจ ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติ หรือ พฤติกรรมการขับถ่ายของลูก อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในเด็กเล็กวัย 3 เดือนจะต้องขับถ่ายอยู่ที่ 2-3 ครั้งต่อวัน และเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป จะถ่าย 1-2 ครั้งต่อวัน ทั้งนี้ เด็กทารกแต่ละคนจะมีความถี่ในการขับถ่ายที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยและการเลี้ยงดู วันนี้เราจึงรวบรวมอาการท้องผูกของเด็กทารก และวิธีการแก้ไขมาฝากกัน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกันได้เลย 1. อาการท้องผูก คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ว่าลูกจะถ่ายอุจจาระเป็นก้อนแข็ง แห้ง ถ่ายน้อยกว่าปกติ 2-3 วันถ่ายทีนึง ใช้เวลาเบ่งค่อนข้างนาน และจะมีอาการงอแงร้องไห้ระหว่างขับถ่าย หรือในเด็กบางคนกินนม กินข้าวน้อยลง เพราะรู้สึกไม่สบายท้อง เมื่อสัมผัสที่หน้าท้องแล้วจะรู้สึกท้องแข็ง แน่น ซึ่งลักษณะนี้เด็กจะมีภาวะท้องอืดร่วมด้วย ในเด็กบางรายที่มีอาการหนักถึงขั้นมีเลือดปนมากับอุจจาระ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผนังทวารอาจเกิดการฉีกขาด จนทำให้ลูก ไม่กล้าเบ่งอุจจาระในที่สุดนั่นเอง 2. ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก สาเหตุ 90% ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาพฤติกรรมของเด็กที่มีการอั้นอุจจาระจนเป็นนิสัย หรือเด็กบางรายอาจมีอาการกลัวโถส้วม ไม่กล้าแบ่งเพราะรู้สึกเจ็บปวดขณะขับถ่าย รับประทานน้ำน้อย ไม่ทานผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง นอกจากนี้การทานนมไปในปริมาณมากก็ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้ด้วยเช่นกัน […]
ทำอย่างไรดีถ้าหากลูกถนัดมือซ้าย และต้องเป็นกังวลหรือไม่ มาดูกัน

ลูกถนัดซ้าย โดยปกติแล้วจากสถิติการสำรวจทั่วโลก พบว่า มีคนถนัดขวาสูงถึง 90% ในขณะที่มีคนถนัดซ้ายเพียงแค่ 10% เท่านั้น จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันของเราส่วนใหญ่จะเอื้ออำนวยสำหรับคนถนัดขวามากกว่า ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกีฬา การเขียนหนังสือ ความสามารถทางด้านศิลปะ ฯลฯ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงสนับสนุนให้ลูกถนัดขวาเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สมองซีกซ้ายของมนุษย์นั้นทำหน้าที่ควบคุมส่วนสำคัญต่างๆในร่างกายมากมาย ทั้งระบบความรู้สึก การคิดวิเคราะห์แยกแยะ รวมถึงการทำงานของอวัยวะต่างๆด้วยเช่นกัน ดังนั้นคนที่ถนัดมือซ้ายจะมีความสามารถโดดเด่นหลายอย่าง วันนี้เราจึงมีข้อมูลดีๆสำหรับลูกที่ถนัดมือซ้ายมาฝากกัน คุณแม่ควรกังวล หรือมีวิธีรับมือได้อย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. ลูกถนัดซ้ายไม่มีผลต่อพัฒนาการ ซึ่งในปัจจุบันการถนัดซ้ายนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จึงมีการผลิตข้าวของเครื่องใช้ขึ้นมาสำหรับคนถนัดซ้ายโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา เมาส์ เครื่องดนตรี หรืออื่นๆอีกมากมาย จึงถือว่าไม่เป็นอุปสรรค ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย 2. พ่อแม่ต้องเชื่อมั่นและสร้างความมั่นใจให้กับลูก ซึ่งแน่นอนว่าเด็กจะต้องมีสังคมที่โรงเรียนอย่างแน่นอน การใช้ชีวิตกับเพื่อนๆที่ถนัดขวา อาจทำให้ลูกรู้สึกแตกต่างจากคนอื่น สิ่งที่สำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ลูกมาถนัดมือซ้าย เพราะอาจจะกระทบต่อความรู้สึกและทำให้เขาขาดความมั่นใจ ดังนั้นแนะนำว่าให้คุณพ่อคุณแม่สร้างความมั่นใจว่าการถนัดซ้ายจะไม่มีผลต่อการเรียนรู้ของลูกเลย 3. สนับสนุนความถนัดของลูกอย่างเต็มที่ จากการสำรวจพบว่า เด็กที่ถนัดซ้าย มักมีความสามารถพิเศษที่โดดเด่น โดยเฉพาะการเล่นกีฬาบางประเภท เช่น เบสบอล เทนนิส […]
5 ผลกระทบจากการตำหนิลูกต่อหน้าผู้อื่น ที่ทำร้ายทั้งพัฒนาการและจิตใจของลูกโดยตรง

ผลกระทบจากการตำหนิลูกต่อหน้าผู้อื่น การสื่อสารกับลูกนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเพราะทุกคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ น้ำเสียง และท่าทาง มีส่วนช่วยพัฒนาการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของลูกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้น ทุกคำพูดจะต้องผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูก คำพูดที่ดีที่สุดควรเป็นคำพูดในเชิงบวก แต่ถ้าหากในบางสถานการณ์ลูกกระทำความผิด หรือ ต้องมีการว่ากล่าวตักเตือน คุณจะต้อง พูดเป็นการส่วนตัว หลีกเลี่ยงการตำหนิต่อหน้าผู้อื่น เพราะอาจทำให้ลูกอับอาย และสร้างเป็นบาดแผลในใจของลูกในอนาคตได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องอารมณ์มั่นคง ดุให้จบไวที่สุด ไม่พูดตวาดเสียงดังพร่ำเพื่อ ใช้คำพูดที่ลูกเข้าใจง่าย จะช่วยให้ลูกยอมรับและทำตามได้มากกว่าการต่อต้าน พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลดีมากกว่าการตำหนิหรือตะหวาดลูกต่อหน้าผู้อื่น ซึ่งจะมีผลกระทบตามมามากมายดังนี้ 1. ทำให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลง การเลี้ยงเด็กในยุคใหม่แน่นอนว่า Self Extreme นั้นคือสิ่งที่สำคัญ ที่จะหล่อหลอมให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตที่มีคุณภาพได้ ซึ่งการเห็นคุณค่าในตัวเองนั้นจะทำให้ลูกมีภูมิคุ้มกัน ที่จะสามารถดำเนินชีวิตในสังคมที่โหดร้ายได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้เกียรติลูก หลีกเลี่ยงการตำหนิลูกต่อหน้าคนอื่นเพราะจะทำให้บั่นทอนจิตใจและอาจทำให้เกิดแผลในใจของลูกได้ คำพูดเหล่านี้ที่จะทำร้ายจิตใจเด็กอย่างมาก เช่น เรื่องแค่นี้ทำไมทำไม่ได้, ทำไมไม่เก่งเหมือนคนอื่นเลย, เพื่อนคนอื่นทำได้ดีกว่าลูกอีกนะ คำพูดเหล่านี้ จะทำให้ลูกของคุณเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลง ไม่มีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แถมยังทำให้พัฒนาการถดถอยลงไปเรื่อยๆอีกด้วย 2. ทำให้ลูกไม่รับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง คำพูดของคุณพ่อคุณแม่นั้นเป็นสิ่งที่จะกำหนดชะตาชีวิตของลูกเลยก็ว่าได้ ถ้าครอบครัวมีคำพูดดีๆ คำพูดเชิงบวก ก็จะช่วยเยียวยาจิตใจ เป็นเกราะป้องกันให้ลูกนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกทำผิดพลาด หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่คือการปลอบโยนและให้กำลังใจ มากกว่าการตำหนิอย่างไม่ฟังเหตุผล ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่บ่นหรือตำหนิลูกอยู่บ่อยๆ เขาจะกลัวการทำผิดพลาด […]
6 วิธี กับความเข้าใจผิดในการเลี้ยงลูก เข้าข่ายพ่อแม่รังแกฉัน

ความเข้าใจผิดในการเลี้ยงลูก เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนต้องอยากเลี้ยงลูกให้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน แต่ด้วยสถานการณ์ในชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้ความพร้อมของแม่แต่ละคนก็แตกต่างกันตามไปด้วย บางคนต้องทำงาน มีเวลาให้ลูกน้อยลง จึงอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูก หรือบางคนมีความเชื่อผิดๆในการเลี้ยงลูก เด็กก็ถูกหล่อหลอมให้โตมาในความเชื่อผิดๆ จนอาจส่งผลกระทบทำให้ลูกนับถือในตัวเองน้อยลง วันนี้เราจึงรวบรวมพฤติกรรมการเลี้ยงลูกแบบผิดๆมาฝากกัน จะมีวิธีการเลี้ยงและทัศนคติแบบใดที่เราควรหลีกเลี่ยงบ้างและพฤติกรรมกันเลย 1. ไม่ปล่อยให้ลูกเรียนรู้หรือรู้จักกับอารมณ์ของตัวเอง เด็กก็เหมือนกับผู้ใหญ่ที่จะมีทั้งอารมณ์โกรธอารมณ์เศร้าเสียใจ ทุกครั้งที่ลูกมีอารมณ์ไม่ดี พ่อแม่มักจะรีบทำการปลอบใจและรีบหาของเล่นมาเพื่อดึงออกจากอารมณ์เหล่านั้น เมื่อทำแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้ลูกไม่สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เลย ดังนั้นควรปล่อยให้ลูกได้แสดงอารมณ์ของตัวเองออกมา โดยที่ปล่อยให้เขาเรียนรู้และจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง จะทำให้เขาสามารถควบคุมมันได้ดียิ่งขึ้น เมื่อโตขึ้นเขาจะสามารถประเมินสถานการณ์และรับมือจัดการกับความรู้สึกที่อยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี 2. การให้ความรักโดยมีเงื่อนไขตอบแทน การเลี้ยงลูกแบบนี้จะเป็นเหมือนกำหนดให้ลูกต้องทำตัวน่ารักอยู่ตลอดเวลา ถึงจะถูกพ่อแม่รักหรือพ่อแม่ถึงจะอารมณ์ดี เป็นต้น ถ้าเป็นแบบนี้ เด็กจะไม่สามารถแสดงความรู้สึกหรือสิ่งที่เขาต้องการออกมาได้ เพราะต้องคอยทำดีเพื่อให้ได้เป็นที่รักและที่ยอมรับ ลูกอาจจะกลายเป็นเด็กเก็บกดและไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันเท่าที่ควร สามารถแก้ไขได้โดยหยุดใช้ความรักมาเป็นเงื่อนไข เพื่อให้ลูกทำตัวดี ถ้าหากพบว่าเขามีพฤติกรรมที่ไม่น่ารักให้คุณอบรมสั่งสอนเขาด้วยความรักและความเข้าใจ ทำให้เขาทราบว่าพฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลกระทบใดในอนาคต โดยไม่ต้องนำความรักมาเป็นเงื่อนไขนั่นเอง 3. คอยทำทุกอย่างให้ลูกตลอดเวลา เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านจะมีความกังวลและเป็นห่วงลูก แต่บางครั้งถ้ามากเกินไปก็อาจจะเป็นดาบสองคมทำร้ายลูกในอนาคตได้ ถ้าคุณพยายามที่จะช่วยเหลือเขา เด็กจะขาดความพยายามและความกระตือรือร้น ไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวได้เท่าที่ควร เขาจะไม่สามารถทราบได้เลยว่าเขามีความสามารถด้านใดเป็นพิเศษเพราะไม่เคยได้ลงมือทำเอง ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรเป็นพิเศษ ขาดความมั่นใจ และจะใช้ชีวิตลำบากในอนาคต สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเองมากยิ่งขึ้นคือการปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูก เรียนรู้จากความผิดพลาด หาวิธีแก้ไขด้วยตัวเองจะทำให้รูปมีความพัฒนาความสามารถในตัวเองได้หย่างก้าวกระโดด 4. การใช้คำขู่สารพัด เป็นวิธีการเลี้ยงลูกที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เมื่อเด็กเกิดความซน […]
6 ภาวะเสี่ยง ที่อาจพบเจอในการตั้งครรภ์แฝด พร้อมวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง

ภาวะเสี่ยงในการตั้งครรภ์แฝด เชื่อว่า หลายครอบครัวจะต้องชื่นชอบและอยากมีลูกแฝดอย่างแน่นอน เพราะตั้งครรภ์เพียงครั้งเดียวได้ลูกพร้อมกันถึง 2 คน อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน เป็นช่วงวัยเดียวกันที่สามารถเป็นได้ทั้งพี่น้องและเพื่อนในเวลาเดียวกันนั่นเอง แต่คุณทราบหรือไม่ว่าการตั้งครรภ์แฝดนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าการตั้งครรภ์ปกติอยากได้ คุณแม่มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์สูง เราจะไปแถวบ้านที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและวิธีการบำรุงครรภ์อย่างถูกต้องและเหมาะสม วันนี้เราจึงรวบรวมภาวะเสี่ยงและวิธีการดูแลตัวเองเมื่อตั้งครรภ์แฝดมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างคะติดต่อกันเลย 1. มีโอกาสแท้งบุตรได้สูง เพราะธรรมชาติออกแบบมาให้ตั้งครรภ์ได้ครั้งละ 1 คน แต่ถ้าหากคุณแม่ตั้งครรภ์แฝดในท้องเดียวอาจทำให้เกิดภาวะผิดปกติในร่างกายเกิดขึ้นหลายอย่าง ถ้าหากดูแลตัวเองไม่ดี มีโอกาสแท้งได้สูงโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก 2. มีภาวะรกเกาะต่ำ อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าตำแหน่งที่รกเกาะแน่นจะเป็นจุดฝั่งตัวของทารก ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งคุณตั้งครรภ์สอดจะทำให้รกเกาะต่ำใกล้ปากมดลูก ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอาการผิดปกติใด แต่ถ้าหากถึงช่วงเวลาที่มดลูกมีการแข็งตัวว่าจะถึงก่อนกำหนดหรือเมื่อครบกำหนด 9 เดือนก็ตาม กราบขอบพระคุณท่านมีโอกาสเลือกตกและอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยคิดเรา ดังนั้นถ้าคุณตั้งครรภ์แฝดจะต้องมั่นใจว่า รกเกาะอยู่ในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องก่อนถึงกำหนดคลอดนั่นเอง 3. มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดสูง โดยปกติแล้ว อายุครรภ์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 38-41 สัปดาห์ แต่ถ้าหากคุณแม่คลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ทางการแพทย์นับว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด จะยิ่งทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวน้อย เกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูง ดังนั้น ถ้าคุณตั้งครรภ์แฝด แนะนำให้สังเกตอาการ ถ้าหากมีอาการปวดท้องเป็นพักๆ ท้องแข็งบ่อยขึ้น มีอาการปวดหลังด้านล่างบริเวณก้นกบ รวมไปถึงมีเลือดออกทางช่องคลอดให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน 4. มีภาวะรกเสื่อม […]
หากไม่อยากให้ลูกพัฒนาการถดถอย ต้องหลีกเลี่ยงคำพูดเหล่านี้อย่างเด็ดขาด

คำพูดที่ทำให้ลูกพัฒนาการถดถอย คุณพ่อคุณแม่คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า คำพูดของคุณนั้นมีผลต่อพัฒนาการของลูกอย่างมาก เด็กจะเติบโตมามีลักษณะนิสัยอย่างไร ขึ้นอยู่กับคำพูดของคุณเป็นหลัก ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่พูดอย่างสร้างสรรค์ พูดในเชิงบวกจากช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีอย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกัน การห้าม หรือการบังคับ ขู่เข็ญ ถือเป็นคำพูดเชิงลบ ที่จะตัดทอนกำลังใจ ทำให้ลูกรู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง และที่สำคัญอาจทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ถดถอยลงได้ ดังนั้นเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของคำพูดมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงได้รวบรวมคำพูดที่คุณควรหลีกเลี่ยงมาฝากกัน จะมีคำพูดใดที่มีผลต่อพัฒนาการบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. คำสั่งห้าม เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนจะต้องเคยพูดคำนี้ออกมาอยู่บ่อยครั้งอย่างแน่นอน อาจจะมาจาก ความเป็นห่วง หรือความกังวลใจ กลัวลูกจะได้รับอันตราย แต่คุณทราบหรือไม่ว่าการสั่งห้ามเด็กบ่อยๆไม่ว่าจะเป็นคำว่า ไม่นะ อย่าทำนะ หยุด ฯลฯ คำพูดเหล่านี้ จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ ทำให้เด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย ถ้าหากว่าทำแล้วเป็นอันตรายก็สามารถที่จะพูดได้ แต่ถ้าหากพิจารณาแล้วไม่เกิดอันตราย เราขอแนะนำให้คุณใช้คำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงแทนการห้าม เช่น อย่าวิ่งนะเดี๋ยวล้ม เปลี่ยนเป็น เดินจับมือแม่ไว้นะคะจะได้ไม่ล้ม เป็นต้น 2. ไม่พูดเปรียบเทียบประชดประชัน คำพูดเหล่านี้ทำร้ายจิตใจเด็กอย่างมาก โดยเฉพาะการเปรียบเทียบความสามารถของลูกคุณเองกับเด็กคนอื่นที่เก่งกว่า จะทำให้พัฒนาการของลูกถดถอย ทำให้ลูกขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าที่จะแสดงความสามารถที่ตนเองมี กลายเป็นเด็กขี้อิจฉา และสร้างทัศนคติทางลบให้กับลูก ดังนั้นการเลี้ยงลูกให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพนั้นคุณไม่ควรที่จะคาดหวังในความสามารถของลูก […]
5 วิธีกู้ความรักและความไว้ใจจากลูกกลับคืนมา ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ครอบครัวอีกครั้ง

วิธีกู้ความรักจากลูกกลับคืนมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพ่อแม่ในยุคสมัยปัจจุบันนี้มีภารกิจที่ต้องทำมากมาย จนทำให้บางครั้งเวลาที่มีให้กับลูกลดน้อยลง สร้างปัญหาต่างๆตามมามากมาย โดยเฉพาะลูกในวัยอนุบาลที่ต้องการความสนใจและความใส่ใจจากครอบครัวเป็นพิเศษ ถ้าหากพ่อแม่มีเวลาให้ลดลง อาจทำให้ลูกเข้าใจผิดว่าพ่อแม่ไม่รักเขาได้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความปวดใจให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมากสำหรับวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการกู้ความรักและความไว้ใจจากลูกกลับคืนมา จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ให้พิจารณาและแก้ปัญหาที่ตัวพ่อแม่เองก่อน ซึ่งเราเข้าใจดีว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นอาจสร้างความวิตกกังวล ความเครียด และความเหนื่อยล้าสะสมให้กับคุณพ่อคุณแม่ จนอาจทำให้ถ่ายทอดพลังงานด้านลบๆนี้ไปสู่ลูกได้ในบางครั้ง ดังนั้นให้คุณลองพิจารณาตัวคุณเองดูก่อนว่าการที่ลูกรู้สึกว่าคุณไม่รักนั้นเกิดจากสาเหตุใด อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่เราเผลอแสดงด้านลบใส่ลูก หรืออาจเป็นเพราะคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ หากเป็นเช่นนี้ให้คุณรีบขอโทษลูกในทันที คำขอโทษจะทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้น นอกจากนี้การยิ้ม ยังช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ให้บรรยากาศภายในบ้านนั้นดีขึ้นได้อย่างง่ายดาย 2. อยู่เคียงข้างลูก โดยเฉพาะลูกในวัยอนุบาลอาจจะต้องพบเจอและปรับตัวกับสภาวะแวดล้อมต่างๆมากมายซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องพบกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะกระทบต่อจิตใจเขาจนยากเกินจะควบคุม สิ่งหนึ่งที่คุณสามารถทำได้คือการคอยอยู่เคียงข้างลูก เข้าใจและช่วยแก้ไขสถานการณ์เยียวยาให้ความรู้สึกของลูกกลับมาดีขึ้นได้ ด้วยการรับฟังความรู้สึกของลูก วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกไว้ใจและรักคุณมากยิ่งขึ้น 3. กอดลูกให้มากขึ้น อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กในวัยอนุบาลนั้นจะมีช่วงอารมณ์ที่ไม่คงที่ บางครั้งเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ให้คุณแสดงความรักด้วยการกอดเขา ช่วยพูดแต่สิ่งดีๆให้เขารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น การแสดงความรักเช่นนี้ จะทำให้ลูกสามารถสงบสติอารมณ์และควบคุมตนเองได้มากขึ้น จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกอบกู้ความรักและความไว้ใจจากลูกกลับคืนมาได้ 4. เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน การเลี้ยงลูกนั้นใครๆก็เลี้ยงได้ แต่จะเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพและเติบโตมาอย่างมีคุณภาพนั้นเป็นงานที่หนักหนาพอสมควร คุณจะต้องทุ่มทั้งแรงกายแรงใจ ต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ดี และที่สำคัญคุณจะต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้เข้ากับลูกให้ได้มากที่สุด การเข้าใจ เอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอถือเป็นการแสดงความรักที่ยั่งยืน จะช่วยให้ลูกซึมซับและสัมผัสกับความรักที่แท้จริงของคุณได้มากยิ่งขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องคาดหวังเลยว่าจะให้เขาเติบโตมาในรูปแบบไหน เพียงแค่คุณทำให้เขามีความสุขในทุกวัน สนุกกับการเรียนรู้ อย่างไร้ขีดจำกัด หากมีข้อที่ต้องแก้ไขหรือปรับปรุงก็ให้เรียนรู้ไปพร้อมๆกันจะช่วยให้การเลี้ยงลูกนั้นมีคุณภาพและช่วยให้เขาดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 5. มีเวลาให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพ่อแม่ยุคใหม่นั้นมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากมาย […]
ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของครอบครัว ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกอย่างคาดไม่ถึง

ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กที่เติบโตมาในยุคสมัยนี้นั้นจะต้องพบเจอกับปัญหามากมายรอบตัวไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองหรือปัญหาโรคภัยไข้เจ็บที่ระบาดหนัก ทำให้เด็กในยุคนี้ต้องสู้ชีวิตเป็นอย่างมาก ซึ่งคุณทราบหรือไม่ว่าปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของครอบครัวนั้นส่งผลกระทบรุนแรงต่อพัฒนาการของลูก เพราะการเลี้ยงเด็กให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีสถานะการเงินที่มั่นคง และเพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมลูกให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพ วันนี้เราจึงรวบรวมผลกระทบที่จะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกถ้าหากเรามีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจภายในครอบครัว จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ส่งผลกระทบต่อภาวะทางอารมณ์ของลูก จากการสำรวจพบว่าเด็กที่เติบโตมาในสังคมที่มีปัญหาทางด้านการเงินมักจะส่งผลกระทบในเรื่องของพัฒนาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมของลูกโดยตรง เด็กอาจจะมีความเครียดสะสม จากปัญหาเรื่องเงินที่ต้องเผชิญกับครอบครัว เพราะโดยปกติแล้ว เด็กเล็กยังไม่เข้าใจเหตุผลต่างๆมากนัก ปัญหาการเงินจะทำให้ลูกมีข้อจำกัดในชีวิตมากมาย ไม่มีของเล่นของใช้เหมือนเพื่อนๆคนอื่นจนอาจเกิดเป็นอารมณ์น้อยใจ ในเด็กบางคนที่มีความต้องการสูง ปัญหาการเงินนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นทำให้ลูก กลายเป็นเด็กซึมเศร้าได้เลยทีเดียว 2. ผลกระทบทางด้านการเลี้ยงดู โดยครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านการเงินนั้น จะมีวิถีการเลี้ยงลูกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพ่อแม่ที่มีความพร้อมทางด้านการเงิน ซึ่งดีที่สุดของแต่ละครอบครัวไม่เท่ากัน ปัญหาเศรษฐกิจที่ครอบครัวต้องเผชิญอาจมีข้อจำกัดในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น เช่น ไม่สามารถพาลูกออกไปเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่ๆบ้าง แตกต่างจากครอบครัวที่มีความพร้อมทางด้านการเงิน ที่สามารถพาลูกไปเจอสภาวะแวดล้อมที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านต่างๆของลูกได้อย่างก้าวกระโดด เป็นต้น ดังนั้นหากใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ เราขอแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงพูดคุยปัญหาทางด้านการเงินให้ลูกได้รับรู้ พยายามสร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้อบอุ่นอยู่เสมอ สร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ควบคุมอารมณ์ให้คงที่ไม่วีนเหวี่ยงใส่ลูก จะช่วยให้บรรยากาศภายในครอบครัวดีมากขึ้นได้ 3. ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของลูก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินนั้นมีความสำคัญในการเลี้ยงดูเด็กเป็นอย่างมาก สามารถช่วยซื้อโอกาสดีๆให้กับลูกได้ เริ่มตั้งแต่การตั้งครรภ์อยู่ในท้อง การดูแลด้านโภชนาการ ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ ไปจนถึงกันเลือกโรงเรียนเข้าศึกษา ที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ ดีจะช่วยกระตุ้นความสามารถและพัฒนาการของลูกได้ดีมากกว่า ดังนั้นจะเห็นได้ว่าครอบครัวที่มีความพร้อมทางด้านการเงินมักจะส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีได้อย่างก้าวกระโดด 4. ส่งผลกระทบทางด้านการเข้าสังคม คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าอาชีพของคุณนั้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเลือกสังคมในอนาคตให้กับลูกได้เลย […]
5 วิธีแก้ปัญหาปากแห้งแตกลอกของคุณแม่ให้นมบุตรที่ร่างกายขาดน้ำ

วิธีแก้ปากแห้งของคุณแม่ให้นมบุตร อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าคุณแม่ที่ให้นมบุตรนั้นร่างกายจะต้องได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอโดยเฉพาะน้ำ เพราะน้ำนมก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบซึ่งในขณะที่เราให้นมลูกนั้นจะรู้สึกได้เลยว่าร่างกายเราหิวน้ำมากขึ้น ถ้าเกิดคุณแม่ดื่มน้ำไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้มีน้ำนมน้อยแล้วยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางด้านอื่นๆอีกด้วยรวมไปถึงมีปัญหาปากแห้งแตกลอกอย่างแน่นอน สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่กำลังเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป เพราะเราได้รวบรวมเคล็ดลับแก้ปากแห้งแตกลอกเป็นขุยด้วยวิธีธรรมชาติมาฝากกัน จะมีวิธีทำอย่างไรบ้างนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเลย 1. ใช้สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าวเข้าบำรุงอย่างล้ำลึก มาเริ่มกันที่สุดแรกคือสูตรน้ำมันมะพร้าว นายน้ำมันมะพร้าวนั้นมีสารสกัดที่เป็นประโยชน์สามารถช่วยฟื้นบำรุงริมฝีปากของคุณแม่ให้กลับมานุ่มฟูได้อีกครั้ง โดยตรงช่วยเข้าฟื้นบำรุงบริเวณที่มีความแห้งแตกหรือเป็นแผล ช่วยรักษาและสมานแผลได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญน้ำมันมะพร้าว ยังสามารถช่วยแก้ปัญหาปากคล้ำ ได้อีกด้วย เพียงแค่คุณแม่นำน้ำมันมะพร้าวมาหยด 1-2 หยดมาทาบริเวณริมฝีปากและนวดเบาๆ สามารถทำได้ทุกวัน ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วคุณจะรู้สึกเลยว่าปากนั้นชุ่มชื้นและนุ่มมากขึ้นรวมไปถึง ช่วยให้ริมฝีปากอมชมพูดูอิ่มอวบได้อีกด้วย 2. สูตรน้ำผึ้งน้ำตาล เป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายคนนิยมนำมาใช้กันมากโดยการนำน้ำผึ้งและน้ำตาลมาช่วยสครับริมฝีปาก บริเวณที่มีการแห้งแตกเป็นขุย น้ำตาลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกอย่างอ่อนโยน ในส่วนของน้ำผึ้งนั้นก็จะช่วยบำรุงให้ริมฝีปากของคุณอ่อนนุ่มและดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มีความคันน้อยลงได้อีกด้วย คุณแม่สามารถทำได้โดยการนำน้ำผึ้ง1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำตาล 1 ช้อนชา นำมาทาให้ทั่วริมฝีปากถูเบาๆทิ้งไว้ 5 นาทีจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้ริมฝีปากของคุณดูอิ่มมากยิ่งขึ้น 3. ชาเขียวช่วยสมานผิว สำหรับคุณแม่ให้นมบุตรที่ร่างกายขาดน้ำมากจนอาจทำให้ริมฝีปากนั้นมีการแห้งแตกและแสบ อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ริมฝีปากของคุณแม่ฟื้นตัวได้ไวขึ้นคือการใช้ชาเขียวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระตรงเข้าช่วยฟื้นฟูและสมานผิวที่แห้งแตกนั้นให้กลับมาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคุณแม่สามารถทำได้โดยการนำชาเขียว 1 ถุง หย่อนลงในน้ำร้อน 1 แก้วประมาณ 2-3 นาที จากนั้นนำถุงชาเขียวมาแนบไว้บริเวณริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นแผล ทำไปบ่อยจะช่วยให้แผลสมานได้ไวยิ่งขึ้น 4. บำรุงริมฝีปากด้วยแตงกวา คุณแม่ทราบหรือไม่ว่าแตงกวานั้นอุดมไปด้วยน้ำเหมาะเป็นอย่างมากสำหรับคุณแม่ที่ขาดน้ำและมีริมฝีปากที่แห้งแตกแตงกวานี้ […]